3 บทเรียนการลงทุนสำคัญจากปี 2022

ผ่านพ้นกันไปแล้วสำหรับปี 2022 ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมายในแวดวงการลงทุน นับเป็นหนึ่งในปีที่เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน

ข่าว ทั้งเรื่องของนโยบายการเงิน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายที่ควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบตามมามากมายในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้ภาพการลงทุนออกมาไม่ดีนักในปีนี้ โดยเป็นหนึ่งในปีที่แย่ที่สุดในรอบหลายๆ สิบปีที่ผ่านมาสำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายบทเรียนที่ในฐานะนักลงทุนเราสามารถหยิบยกมาเรียนรู้เช่นกันครับ หนึ่งในกลุ่มของหุ้นที่เผชิญกับแรงเทขายอย่างต่อเนื่องในปีนี้และปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดโดยรวม หนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีทั้งหลายที่มีแรงซื้อเข้ามาอย่างมหาศาลในปีก่อน โดยในช่วงต้นปีจะเห็นหุ้นเทคโนโลยียอดนิยมต่างๆ เช่น Meta (META) Alphabet (GOOGL) Amazon (AMZN) ซื้อขายกันอยู่ในระดับ Forward Price-to-Earning (PE) ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีก็ซื้อขายกันที่ระดับ Forward PE สูงถึง 35.4 เท่าในช่วงต้นปี (เทียบกับปัจจุบันที่ลดลงมาอยู่ที่ 24.6 เท่า โดยประมาณ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังที่ 24.5 เท่า) ยังไม่นับการซื้อขายในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น สกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ Non-fungible Token (NFT) หรือ การซื้อขายใน Metaverse ต่างๆ โดยในขณะนั้นๆ การคาดการณ์เกี่ยวกับผลกำไรและการเติบโต รวมถึงความเป็นไปได้ของการหารายได้ในอนาคตจากสินทรัพย์ต่างๆ เหล่านั้นก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากภาพรวมของตลาดการเงิน แต่ก็จะเริ่มเห็นนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนถึงภาวะฟองสบู่เนื่องจากราคาเริ่มไม่สมเหตุสมผลกับปัจจัยพื้นฐานอยู่เรื่อยๆ ไม่นับว่าปัจจัยพื้นฐานนั้นค่อยๆ แย่ลงอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินเฟ้อ และกำไรจดทะเบียนที่เริ่มเติบโตช้าลง แต่ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้น แต่ในภาพรวมคำเตือนเหล่านั้นก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรนักในภาวะที่ความมั่นใจสูง ในแวดวงการลงทุนเรามักจะได้ยินคำว่า “Price is what you pay, value is what you get” ราคาที่จ่ายจะเป็นเท่าไรก็ได้ แต่มูลค่าคือสิ่งที่ได้รับ ซึ่งน่าจะสะท้อนบทเรียนในส่วนนี้ได้ดี

‘3 บทเรียนการลงทุนสำคัญจากปี 2022

การเปลี่ยนผ่านนโยบายการเงินอันเป็นผลมาจากแรงกดดันเงินเฟ้อนั้นส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมากในปีนี้ โดยทั้งบอนด์และหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญพร้อมๆ กัน ซึ่งส่วนสำคัญนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินจากการผ่อนคลายมาเป็นเข้มงวดขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่น่าจะเป็นบทเรียนได้ดี คือ เรื่องของความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน

โดยจะเห็นได้ว่าในวัฏจักรก่อนๆ การขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดขนาดนี้ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะการค่อยๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าในรอบนี้ต้นเหตุสำคัญหนีไม่พ้นการที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ช้าเกินไป (Behind the Curve) ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ขาดความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะถูกควบคุมได้ในระยะเวลาอันใกล้ โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงต้นปีในขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นอย่างน้อย 5-6 ครั้งในปีนี้ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมีท่าทียืนยันว่าเงินเฟ้อนั้นเกิดจากปัญหาด้านอุปทาน (Supply Push Pressure) มากกว่าทำให้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีในภายหลัง โดยในช่วงนั้นความไม่แน่นอนจะเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากยังไม่มีแน่ใจ ก่อนที่สุดท้ายเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวการเงิน ซึ่งเป็นบทเรียนที่ดีว่าในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง สิ่งที่เราพอจะทำได้คือการลดระดับความเสี่ยงของพอร์ตฟอลิโอลงบ้าง เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะเงินเฟ้อต่ำมาเป็นระยะเวลายาวนานนับทศวรรษ ทำให้ในบางครั้งเรื่องของเงินเฟ้อดูจะเป็นเรื่องรองลงไป แต่ในปี 2022 ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากที่สุดตัวเลขหนึ่งทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจคือเรื่องของกำลังซื้อที่ลดลง และแน่นอนว่าเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้อสูงนั้นไม่ค่อยเป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม ในขณะที่ผลกระทบทางอ้อมคือผ่านทางนโยบายการเงินอย่างที่ได้กล่าวไปในส่วนก่อน โดยแม้เงินเฟ้อในภาพรวมจะส่งผลกระทบต่อตลาด แต่ส่วนสำคัญที่สุดของเงินเฟ้อ คือ การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากหลากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นตอของเงินเฟ้อ การปรับขึ้นค่าแรง รวมถึงท่าทีของนโยบายการเงินประกอบกัน ซึ่งหากการคาดการณ์เงินเฟ้อไม่ปรับสูงขึ้น ผลกระทบต่อตลาดการเงินก็อาจจะไม่มากเท่าปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญของการลงทุนในปีนี้เช่นกันครับสุดท้ายต้องขออนุญาตสวัสดีปีใหม่สำหรับผู้อ่านทุกท่าน และขออวยพรให้ปีนี้เป็นปีที่การลงทุนประสบความสำเร็จครับ หมายเหตุ บทวิเคราะห์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด